(ไม่มีสปอยฉากสำคัญๆนะ)
มือเพลิง บอกเล่าเรื่องราวของสามชีวิตที่ต่างพลัดหลงเข้ามาซ้อนทับความทรงจำของกันและกัน จงซูเป็นชายหนุ่มตกงาน หาเงินด้วยการทำงานรับจ้างไปวันๆ จนวันหนึ่งเขามาเจอแฮมีโดยบังเอิญ เธอเป็นพื่อนวัยเด็กของเขา แต่ตอนเจอครั้งแรกเขาจำเธอไม่ได้เพราะเธอทำศัลยกรรมมา เธอเองก็ไม่ต่างอะไรกับเขา เป็นหนุ่มสาวที่ใช้ชีวิตลอยลอยมา ปริญญามันเป็นเพียหลักฐานทางสังคมที่ไร้ตัวตน วันแรกที่นัดกินข้าวด้วยกัน เธอเล่าเรื่องการแสดงละครใบให้เขาฟัง เธอแสดงการปอกเปลือกส้มให้เขาดู เธอบอกเขาว่าทริคง่ายๆของการแสดงคือ ต้องคิดว่าสัมไม่มีจริง และเธอยังบอกจงซูว่าเธอกำลังเก็บเงินไปแอฟริกา เธอเอยปากขอให้เขาดูแลแมวที่เธอเลี้ยงไว้ให้หน่อย เธอไม่ได้ตั้งใจจะฝากแมวไว้กับจงซู แต่เธอให้เขาเข้ามาให้อาหารมันที่ห้องของเธอ วันแรกที่เขามาที่ห้องเธอ เธอบอกเล่าเรื่องความโชคดีหากได้เห็นแสงที่สะท้อนมาจากหอคอยที่มองเห็นได้จากหน้าต่างห้องข้างเตียงนอน เพราะห้องของเธออับแสง ดังนั้นแสงสะท้อนอันนั้นจึงเป็นปรากฏการณ์เพียงหนึ่งเดียวที่จะทำให้ห้องของเธอสว่างด้วยแสงธรรมชาติ ตอนนั้นเขายังไม่เห็นแมวของเธอ และจากนั้นเธอกับเขาก็ร่วมรักกัน ระหว่างที่เขาอยู่บนตัวเธอ เขามองเห็นลำแสงที่สะท้อนมาจากหอคอยนั้น เขาจ้องมองมันถึง 2 ครั้ง 2 ครา ราวกับจะย้ำกับตัวเองว่า นั้นเป็นแสงสว่างที่สะท้อนลงมาในห้องอันอับแสงนี้จริงหรือไม่
วันที่เธอกลับมาจากแอฟริกา เธอบอกให้จงซูไปรับที่สนามบิน ตอนนั้นเอง จงซูได้รู้จึกเพื่อนใหม่ของเธออย่างไม่ทันตั้งตัว เขามีชื่อว่าเบน เบนเป็นชายหนุ่มรูปงาม ร่ำรวย อาศัยอยู่ในย่านคนรวยอย่างกังนัม ชีวิตของเบนต่างจากแฮมีและจงซูอย่างสิ้นเชิง แต่อาจด้วยความรู้สึกบางอย่างที่มีร่วมกัน ความโดดเดียว ความกลวงเปล่า ดึงดูดให้พวกเขาทั้งสามคนเข้ามาเรียนรู้โลกของกันและกัน และจนสุดท้ายก็เผาผลาญกันและกันอย่างเงียบเชียบเงียบงัน
สิ่งที่สะดุดใจผมค่อนข้างมาก นับตั้งแต่เรื่องสั้นต้นฉบับนั้นคือคำว่า “ไม่มี” ที่แฮมี บอกถึงเทคนิคการแสดงละครใบ้ปอกเปลือกส้มล่องหนของเธอ แล้วพอมาเป็นหนัง คำว่า “ไม่มี” มันถูกขยายความออกไปได้น่าทึ่งมากๆ โดยที่การขยายความของอีชางดองนั้นยังคงไว้ซึ่งองค์ประกอบชิ้นเล็กชิ้นน้อยในแบบมูราคามิไว้อย่างครบถ้วน และถ่ายทอดออกมาเป็นหนังด้วยท่าที่การเล่าอย่างวรรณกรรม (ในแบบของอีชางดอง) แม้ตัวละครในหนังจะถูกปรับเปลี่ยนจากตัวละครในหนังสือไปพอสมควร แต่ฉากสำคัญอย่างการแสดงละครใบ้ ปอกเปลือกผลส้มของแฮมีนั้น การคิดว่า “ไม่มี” มันอยู่ตรงนั้น อีชางดอง ได้ตีความมันออกไปสู่ความสัมพันธ์ของสามชีวิตที่ซ้อนทับทั้งเรื่องของชนชั้น คุณค่าของชีวิต และความคลุมเครือกึ่งจริงกึ่งฝัน
หากจะกล่าวว่าความสัมพันธ์ของแฮมีกับจงซูเริ่มจาก แมว ก็คงไม่ผิดนัก เธอขอให้เขามาให้อาหารแมวทีห้องของเธอระหว่างที่เธอไปเที่ยวแอฟริกา แต่เขาไม่เคยเห็นแมวตัวที่ว่านี้เลย มันอาจจะเป็นแมวล่องหน เพราะหลักฐานอย่าง อุจาระของมัน และอาหารที่หมดลงไป มันก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า แมวมีอยู่จริงแม้จะไม่เคยเห็นมันเลยก็ตาม และจงซูก็ดูเชื่อเช่นนั้นมาตลอด ในระหว่างที่เธอไปเที่ยวแอฟริกา จงซูก็ได้ย้ายกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด เพราะพ่อซึ่งประกอบเป็นเกษตรกรของเขาอยู่ระหว่างพิจารณาคดีที่ศาลในข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ ส่วนแม่ก็เลิกกับพ่อตั้งแต่เขายังเด็ก เขาจึงกลับมาอยู่บ้านเพียงลำพัง แม้บ้านจงซูเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ ราวกับว่าบ้านหลังนี้ไม่เคยเงียบเหงา แต่ทว่าความจริงที่เราเห็น บ้านทั้งหลังก็มีจงซูเพียงคนเดียว เขาประกอบกิจวัตรประจำวัน กินข้าว ดูทีวี ให้อาหารวัว และนอน วนเวียนอยู่อย่างนั้น ราวกับว่าเขาอยู่คนเดียวมาตลอด หากไม่มีรูปถ่ายของพ่อกับแม่แขวนที่ผนัง เราคงปักใจเชื่อเช่นนั้นไปแล้ว
ตอนที่แฮมีแนะนำเบนต่อจงซู สีหน้าของเขาดูกระอักกระอ่วน ใช่ เขารักแฮมีเข้าไปแล้ว แต่ความสัมพันธ์ของเขากับเธอมันไม่ชัดเจน เขากับเธอดูเหมือนพื่อนที่นอนด้วยกันได้มากกว่า เขาจึงไม่สามารถแสดงอาการหึงหวงออกมาได้ และเขาเคยให้คำนิยามเบนว่าเป็น แกตสบี้ (จากเรื่อง The Great Gatsby) ของสังคมเกาหลี โลกของเบนเต็มไปด้วยความโออ่า หรูหรา เขาอาศัยอยู่ในย่านกังนัม ขับรถสปอต เขาชอบทำอาหาร ฟังเพลงแจ๊ส และมักจัดปาร์ตี้กับกลุ่มเพื่อนๆ
แฮมีบังเอิญเจอกับเบนตอนติดอยู่ที่สนามบินระหว่างขากลับมาเกาหลี คุยกันถูกคอ ราวเธอได้ลอกคราบเข้ามาสู่โลกอันพรั่งพร้อมของเบน ในวงสนทนาของงานปาร์ตีของเบนกับเพื่อนๆ เธอเล่าเรื่องการร่ายระบำของคนแอฟริกาเพื่อกลายร่างจาก Little hunger เป็น Great hunger หรือกล่าวได้ว่าจากผู้หิวโหยสู่ผู้โหยหาความหมายของชีวิต ในตอนที่เธอลุกขึ้นเต้าตามแรงเชียร์ของเพื่อนๆของเบน สีหน้าซงจูไมได้แสดงออกถึงความสนุกหรือความสุขที่ได้รับ เขาเหมือนเป็นคนนอกที่บังเอิญได้เข้ามาสังเกตุการณ์การใช้ชีวิตของคนรวยอย่างใกล้ชิด ในขณะที่เขาเห็นว่าเบนนั่งหาว และเหตุการณ์คล้ายกันนี้ จงซูก็ได้เห็นมันอีกครั้ง หลังจากที่แฮมีหายไปและเบนมีผู้หญิงคนใหม่ราวกับเป็นภาพซ้ำที่เคยมีแฮมีอยู่ตรงนั้น
วันที่เบนกับแฮมีมาหาจงซูที่บ้าน ฉากที่ทั้งสามคนนั้งมองแสงอัสดงนั้นงดงามมากๆ แฮมีเมากัญชา เธอลุกถอดเสื้อแล้วร่ายรำท่ามกลางแสงสีส้มเรื่อเรืองด้วยท่วงท่าของ Great hunger ฉากนี้ก็งดงามมากๆเช่นกัน เธอร่ายรำจนหมดเรี่ยวแรง หลังจากเบนกับจงซูช่วยกันหามเธอไปนอนทีโซฟา ชายหนุ่มได้นั่งคุยกัน จงซูบอกเบนว่า เขารักเธอ ส่วนเบนเล่าถึงกิจกรรมที่เขาชอบทำคือการเผาโรงนาเก่าๆ และเป้าหมายต่อไปก็อยู่ละแวกบ้านจงซูนี่แหละ เบนชอบจ้องมองโรงนาที่กำลังลุกเป็นพลิง เขาบอกเบนว่า เขาเกลียดพ่อ ตอนแม่หนีไปเพราะทนความเจ้าอารมณ์ของพ่อไม่ได้ พ่อเอาเสื้อผ้าของแม่มาเผา เขามักจะฝันถึงเหตุการณ์ตอนนี้บ่อยๆ เขาบอกเบนไว้อย่างนั้น แต่คืนนั้นเขากลับฝันว่าตัวเองยืนจ้องมองโรงนาที่กำลังลุกไหม้ด้วยสีหน้าพรึงเพริด
เมื่อแฮมีหายไป (ภายหลังที่จงซูต่อว่าเธอเรื่องการเปลื้องผ้าต่อชายคนอื่น) การไม่มี ของบางสิ่ง อย่างเช่น แมว บ่อน้ำแถวบ้านที่แฮมีบอกกับจงซูว่าเธอเคยตกลงไปและเขาเป็นคนช่วยเธอ แต่เขาเองกลับจำไม่ได้ และแม่กับพี่สาวของแฮมีก็เคยบอกว่าแถวบ้านไม่มีบ่อน้ำ รวมถึงลุงแถวบ้านด้วยแต่แม่ที่ทิ้งเขาไปกลับบอกว่าเคยมีบ่อน้ำ หรือโรงนาเป้าหมายของเบนที่จงซูพยายามหาเท่าไรก็ไม่เจอ สิ่งเหล่านี้ต่างเริ่มสร้างความสับสนคลุมเครือ หลอกหลอนประสาทให้สั่นคลอน จนเหมือนกับว่าช่วงครึงแรกของหนังก่อนที่แฮมีจะหายไป ทั้งแฮมี จงซูและเบนกำลัง คิดว่า “ไม่มี” บางสิ่งอยู่เพื่อให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาดำเนินต่อไปได้
สิ่งที่ “ไม่มี” นั้นอาจเป็น ชนชั้น ความโดดเดี่ยว หัวใจที่กลวงเปล่า ความเหลี่ยมล้ำ ความอิจฉาริษยา นัยแฝงที่บรรจุไว้ในพฤติกรรมของตัวละครหรือผ่านวัตถุ/สถานทีที่ตัวละครผันผ่าน พบเจอ ต่างค่อยๆเผยความอ่อนไหวของเหล่าตัวละครในมือเพลงออกมา อย่างเนิบช้าแต่ทว่าก็รุนแรงจนเป็นบาดแผลปแหวะหวะได้ทีเดียวเลยละ ซึ่งอีชางดงเก่งในการเปรียยเปรย สะท้อนภาพความรู้ตัวละครมากๆ (Secret sunshine ก็เป็นหนึ่งในนั้น ) อย่างฉากที่จงซูพยายามหาโรงนาเป้าหมายของเบน / ตามหาแฮมี หรือ การเต้นรำของแฮมี การหาวของเบนในวงสนทนาสัพเพเหระของงานปาร์ตีเล็กๆ ต่างก็สะท้อนความรู้สึกที่เก็บง้ำไว้ของตัวละครออกมาอย่างเงียบงันโดดเดียวและเจ็บปวด
แต่สำหรับผมฉากที่ดูแล้วรู้สึกเจ็บปวดมากๆ คือ ฉากที่จงซูมมาหาเบนที่ร้านกาแฟ ซึ่งตอนนั้นเบนกำลังหนังสือรวมเรื่องสั้นของฟอร์คเนอร์มาซึ่งฟอร์คเนอร์เป็นนักเขียนที่จงซูชอบ และเบนมักไถ่ถามถึงงานเขียนของจงซู และตอนที่เเขาบอกว่า เขาอิจฉาจงซูเพราะแฮมีเคยบอกว่าจงซูเป็นคนสำคัญของเธอ เอาเข้าจริงๆสิ่งที่เบนพูดออกมา มันดูเหมือนจะจริงแต่ทว่าก็เชือดเฉือนเพราะสิ่งที่เบนปฏิบัตต่อแฮมีและจงซีมันเหมือนการเล่นเพื่อเรียนรู้ชีวิตของคนอีกชนชั้นมากกว่า มันเหมือนตอนที่เขาเคยบอกว่างานที่เขาทำมันคือการเล่น ในขณะที่แฮมีกับจงซูเป็นเพียงคนนอกที่แทบไม่มีตัวตนในสังคม เป็นเพียงคนที่อยู่ระดับล่างของสังคม และคงไม่แปลกอะไรหากพวกเขาจะกลายเป็นแค่ของเล่นหรือสิ่งของที่ถูกทิ้งขว้างในสักวัน (อย่างน้อยครั้งหนึ่งทั้งจงซูและแฮมีก็ถูกคนในครอบครัวทิ้งมาครั้งหนึ่งแล้ว แค่โดนอีกสักทีจะสักเท่าไรกันเชียว)
เบนแค่อยากอ่านงานของฟอร์คเนอร์ เบนแค่อิจฉาจงซู แต่ไม่ได้หมายความว่าเบนอยากเป็นนักเขียนอย่างจงซูหรือเป็นคนรักของแฮมี (หลังแฮมีหายไป เขาก็มีผู้หญิงคนใหม่ที่คล้ายเธอมาก) ในขณะที่จงซูดูเหมือนอยากเป็นอย่างเบน และประเด็นที่ร้ายกาจมาก ราวกับจะประชดประชันถึงความพยายามกระเสือกกระสนของคนชนชั้นกลางที่อยากร่ำรวย เบนเคยบอกจงซูว่า แฮมีหายตัวไปเพราะเป็นหนี้บัตรเครดิต (ตรงนี้ลืมเล่าไปว่า ตอนที่จงซูไปตามหาแฮมีที่ร้านอาหารของแม่ของเธอ เขาได้ฟังข้อเท็จจริงเรื่องบ่อน้ำ และแม่กับพี่สาวยังฝากอีกด้วยว่า ถ้าแฮมียังเป็นหนี้บัตรเครดิตอยู่ก็ห้ามกลับมาบ้าน) แฮมีหญิงสาวผู้ที่พร่ำเพ้อถึงความหมายของ the Great hunger ก็ไมอาจสลัดตัวเองหลุดออกมาจากโลกทุนนิยมได้
ในท้ายสุดแม้โลกของพวกเขาทั้ง 3 คน หนึ่งคือโลกทีสมบูรณ์เพียบพร้อมอีกหนึ่งก็กระพร่องกระแพร่ง คงไม่มีวันมาบรรจบกันได้ จึงทำได้แค่ผันผ่านเข้ามา สร้างความสับสนคลุมเครือต่อกัน ทำร้ายกัน แต่เหนือสิ่งอื่นใด “การแสร้งว่าไม่มี” นี่ต่างหากที่กำลังแผดเผาพวกเขาอย่างเงียบงัน